วัฒนะ วรรณ
ผมตกงานมาได้เกือบหนึ่งเดือนแล้ว คือไม่ได้ทำงานตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 50 วันที่ 31 ตุลา นี้ ก็จะครบหนึ่งเดือนพอดี มันเป็นเวลาพอสมควรที่อยากจะเล่าเรื่องราวระยะเวลาหนึ่งเดือน ของคนไม่มีงานทำให้ฟังเผื่อว่า จะเป็นประโยชน์บ้างกับมิตรสหาย
เริ่มแรกที่รู้ว่าทางองค์กรเอ็นจีโอที่ผมทำงานเลิกจ้างผม วูบแรก อารมณ์ สับสน มึนงง ตกใจ ก็ประเดประดัง เข้ามาอย่างไม่ทันตั้งตัว การทำตัวให้หน้าสงสารต่อหน้าเจ้านายคงไม่ใช่ทางออกที่ดี สำหรับผม ก็คงต้องฝืนยิ้มรับชะตากรรมไป แต่มันก็ไม่เลวร้ายมากนัก เมื่อองค์กรจะจ่ายเงินค่าชดเชยตามกฏหมายให้
องค์กรให้เหตุผลกับผมว่าต้องการปรับองค์กรในปีหน้า แต่ทุกคนคงรู้ว่าเหตุผลนี้เป็นเพียงภาษาทางการทูตที่ฟังแล้วไม่รุนแรงเกินไปเท่านั้น แต่ปัญหาจริงมันก็มาจากความขัดแย้งหรือความเห็นไม่ตรงกันเท่านั้น ความคิดเห็นที่แตกต่างเป็นเสน่อย่างหนึ่งของระบบทุนนิยม แต่มันก็ถูกพิสูจน์มาตลอดว่าในบริษัทเอกชนจะมีเสน่ตรงนี้น้อย ถ้าความเห็นที่แตกต่างไปกระทบกับผลประโยชน์ของเจ้าของบริษัท แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับผมมันเกิดในองค์กรพัฒนาเอกชน องค์กรที่ให้นิยามกับตนเองว่าทำงานเพื่อสังคม
แน่นอน ! ความเห็นต่างเป็นเรื่องดีในความหลากหลายของมนุษย์ แต่ทำไมเมื่อเห็นต่างแล้วคนคนหนึ่งถึงมีอำนาจที่จะสั่งให้คนอีกคนหนึ่งเดินออกจากองค์กร ในฐานะผู้กระทำผิด มันเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าประชาธิปไตยมันยังไม่เกิดขึ้นจริงในสังคมปัจจุบัน แม้ในองค์กรที่ดูเหมือนจะมีความก้าวหน้าอย่างองค์กรพัฒนาเอกชน กรณีผมเป็นเพียงแค่ตัวอย่างในอีกหลายๆองค์กร ว่าประชาธิปไตยไม่มีจริง
ผมโชคดีมากที่เพื่อนที่รู้จักไม่บอกกับผมว่า “ก็มึงมันหัวแข็งเกินไป” หรือ “มึงต้องรู้จักประณีประนอมบ้าง” เพราะคำพูดเหล่านี้มันเป็นการโยนความผิดให้กับผู้ถูกกระทำ แทนที่จะโยนคำถามไปที่เจ้านายว่า “ทำไมถึงต้องไล่ออก” เพราะบ่อยครั้งในสังคมไทย ผู้ถูกกระทำมักจะเป็นผู้ผิด เหมือนกรณีหนึ่งที่ผมพอจำได้เกี่ยวกับการแต่งชุดของนักศึกษาที่เซ็กซี แต่ผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองนี้กลับบอกว่ามันจะนำไปสู่การเสียตัว การถูกข่มขืน ทั้งๆที่ความผิดมันไม่ได้อยู่ที่ผู้ถูกข่มขืน แต่ผู้ที่ข่มขืนต่างหากที่ต้องรับผิดชอบ
เมื่อตกงานก็ต้องหางานทำ ผมสมัครงานไปกว่า 20 กว่าที่ ทั้งบริษัทเอกชน องค์กรพัฒนาเอกชน แต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ ยิ่งสมัครก็ยิ่งท้อ ยิ่งเวลาผ่านไปเงินที่สะสมไว้ก็เริ่มหร่อยหล่อลงทุกวัน แต่ก็ไม่ใช่ผมคนเดียวหรอกนะ เพราะยังมีเพื่อนๆอีกหลายคนที่ไปพบเจอกันในการสัมภาษณ์งานหลายๆแห่ง ก็ล้วนไม่มีงานทำอย่างผม เป็นลูกคนชั้นล่าง ไม่มีทรัพย์สมบัติอะไร นอกจากกำลังแรงงาน หลายคนตกงานมาหลายเดือนแล้ว หลายคนพึ่งจบมาแต่ก็ยังหางานไม่ได้ บางคนก็เดินทางมาไกลถึงเชียงใหม่ บางคนก็มาจากอุดรธานี ใบหน้าขอแต่ละคนนั้นไม่ต่างกัน ความสดใสในแววตาไม่มีให้เห็นแน่นอน ถึงแม้บ้างคนจะแสดงการทักทายเพื่อนใหม่ด้วยรอยยิ้ม แต่ในแววตาแล้วมันดูเศร้าเกินไป ไม่เหมาะกับใบหน้าที่เขาและเธอกำลังแสดงออกสู่ชายแปลกหน้าอย่างผม
ผมไม่รู้ว่าจริงๆแล้วพวกเขาต้องการทำงานประเภทใหนกัน เพราะคำบอกเล่าว่าถ้าไม่ได้ที่นี่ก็จะไปอีกที่หนึ่ง ซึ่งแต่ละที่ก็เป็นงานที่แตกต่างกัน หรือเพียงเพราะว่าที่ที่พวกเขาเดินทางไปมันพร้อมจะเปิดรับเขาเข้าทำงาน เขาก็แค่เลือกงานเหล่านั้น มิใช่เลือกจากสิ่งที่พวกเขาต้องการ แล้วความสุขมันอยู่ตรงใหนในการทำงาน
ยิ่งเขียนก็ยิ่งงง ไม่สามารถหาทางออกกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ พรุ่งนี้ก็คงตื่นมาหางานทำเหมือนเดิม ก็หวังว่าทุกคนร่วมทั้งผมด้วยจะได้งาน และมีเงินไปหาความสุขนอกสถานที่ทำงาน
7/11/50
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
1 ความคิดเห็น:
cheers up
แสดงความคิดเห็น